วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2558


มัสยิดนัจมุดดีน บ้านควนลังงา







 มัสยิดบาโงยลางาตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ตำบล ทรายขาว   อำเภอ โคกโพธิ์  จังหวัด ปัตตานี  เป็นศาสนสถานเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีการก่อสร้างแบบผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมแบบไทยและสถาปัตยกรรมของมุสลิมทำให้สุเหร่าแห่งนี้มีลักษณะคล้ายกับศาลาเปรียญ สันนิษฐานว่าสร้างในปี  พ.ศ.2177 (ค.ศ.1634) ในรัชสมัยของราชินีราตูอูงูครองราชย์ระหว่างปี  พ.ศ.2167-2178 ซึ่งในสมัยของราชินีราตูอูงูได้เกิดสงครามขึ้นระหว่างปาตานีดารุสสลามกับราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาในขณะนั้นพระเจ้า ประสาททองได้ส่งกองทัพกรุงศรีอยุธยาเข้าโจมตีปาตานีดารุสสลาม เกิดสงครามยือเยื้อเป็นเวลาแรมปีสงครามครั้งนี้เอง จึงเป็นที่มาของวีรกรรมผู้กล้าหาญ ของโต๊ะหยางหญิงแห่งบ้าน บาโงยลางา (คำว่าบาโงยลางาเป็นภาษามลายูหมายถึง ควนหรือเนิน  ส่วนคำว่าลางา  แปลว่า การปะทะสถานที่แห่งหนึ่ง คือส่วนหนึ่งของสมรภูมิสงครามในครั้งนั้น)โต๊ะหยางหญิงเป็นผู้เก็บมหาคัมภีร์อัลกุรอานในช่วงสงครามซึ่งขณะกำลังหนีภัยสงครามนั้นโต๊ะหยางหญิงตกลงในหุบเหวเป็นเวลาหลายวัน หลังสงครามสงบโต๊ะหยางหญิงได้รับความช่วยเหลือจากชาวบ้านให้ขึ้นจากเหว ซึ่งทุกคนต่างตะลึงเมื่อเห็นสิ่งที่โต๊ะหยางหญิงกอดแน่นอยู่กับอก คือพระมหาคัมภีร์อัลกรุอานเล่มนี้ถูกจารึกด้วยลายมือ ปกทำมาจากเปลือกต้นมะม่วงหิมพานต์ พระมหาคัมภีร์อัลกรุอานเล่มนี้ได้ประดิษฐานในมัสยิดแห่งนี้มาจนถึงปัจจุบันจากนั้นชุมชนบ้านทรายขาวได้ร่วมกันสร้างสุเหร่าขึ้นภายหลังสงครามสงบโดยขณะนั้น ชาวบ้านทั้งมุสลิมและไทยพุทธในพื้นที่ได้ร่วมแรงร่วมใจในการก่อสร้างมัสยิดหลังนี้โดยไม้ที่นำมาใช้ในการก่อสร้าง คือไม้แคและไม้ตะเคียน (กายูจืองา)ซึ่งชาวบ้านตัดมาจากป่าในเทือกเขาสันกาลาคีรี และใช้หวายมัดเป็นเชือกลากลงมาจากภูเขา จานั้นก็จะใช้ขวานถากเสาให้เป็นสี่เหลี่ยมส่วนกระเบื้องที่ใช้มุงหลังคา ทำมาจากอิฐแดง ต้นกำเนิดมาจากหมู่บ้าน ตาระบาตอ ต.กะมิยอ อ.เมือง จ.ปัตตานี ปัจจุบันพระมหาคัมภีร์อัลกรุอานฉบับเขียนด้วยมือและเครื่องมือการก่อสร้างบางส่วนยังคงเก็บรักษาไว้รูปแบบการก่อสร้างเป็นศิลปะการก่อสร้างตามสร้างตามแบบศิลปกรรมที่สืบทอดมาจากสถาปัตยกรรมลังกาสุกะมัสยิดบาโงยลางาทั้งหลังสร้างขึ้นโดยไม่ใช่ตะปู แต่ใช่ลิ่มไม้ นับเป็นภูมิปัญญาและความสมานสามัคคีของชาวชุมชนท้องถิ่นร่วมกันสร้างศาสนสถานและวัฒนธรรมสถานที่งดงามล้ำค่าทางศิลปะแบบราชอาณาจักรลังกาสุกะนอกจากนี้ยังมีสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือกลองหรือนางญาใช้ในการตีบอกเวลาให้สมาชิกในชุมชนรู้ถึงเวลาที่จะต้องมาร่วมละหมาดนอกจากนี้ยังเป็นการเตือนภัยเมื่อมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกลองหรือนางญานี้ทำมาจากต้นไม้ขนาดใหญ่ นำมาคว้านตรงกลาง จากนั้นใช้หนังควายเพื่อขึ้นหน้ากลอง สำหรับจุดเด่นของกลองนี้คือลิ้นที่ทำมาจากไม่ไผ่เหล่านี้จะสั่นทำให้มีเสียงที่ไพเราะขึ้น และมีความดังไปไกลประมาณ3กิโลเมตร ปัจจุบันได้ตั้งแสดง เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ดูได้ศึกษาที่มัสยิดศาสนาอิสลามได้เป็นที่เผยแพร่อย่างรวดเร็วหลังจากพญาตูนาคะแห่งราชอาณาจักรมลายูลังกาสุกะได้เปลี่ยนจากพุทธศาสนามาเป็นกษัตริย์มุสลิมองค์แรก ในนามสุลต่าน  อิสมาอีลชาล์แห่งราชอาณาจักรปาตานีดารุสสลามที่มาของชื่อ  ซึ่งสถานที่สร้างมัสยิดเป็นเนินซึ่งในภาษามลายู จะเรียกว่าบาโงย  ลางาก็คือการปะทะในสมัยนั้น และทำให้มีการตั้งชื่อมัสยิดแห่งนั้น เป็นชื่อ มัสยิดบาโงยลางาเป็นมัสยิดเก่า  แต่เนื่องจากมีจำนานประชากรเพิ่มมากขึ้นจึงจำเป็นต้องสร้างมัสยิดแห่งใหม่ขึ้นก็คือมัสยิดนัจมุดดินชุมชนทรายขาว...เป็นชุมชนใหญ่แห่งหนึ่งของอำเภอโคกโพธิ์ ภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่มสลับพื้นที่ราบสูง ติดแนวเทือกเขาสันกาลาคีรีที่เป็นแนวเชื่อมต่อจังหวัดยะลา ปัตตานี และจังหวัดสงขลา ชุมชนทรายขาวเป็นชุมชนที่บ่งบอกถึงความสมานฉันท์สามัคคีของชาวบ้านทั้งไทยพุทธและชาวไทยมุสลิม ไม่แบ่งแยกศาสนา มีความรักใคร่กลมเกลียว ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์เหนียวแน่นอันดีงามนี้มีมายาวนานตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ เป็นภูมิคุ้มกันที่ดีของชุมชนทรายขาว มนต์เสน่ห์ด้านการท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สามารถดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเยือนอารยธรรมนอกจากบรรดามัสยิดที่ได้กล่าวถึงแล้ว ความเจริญและวิทยาการทั้งหลายที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบันล้วนมีรากฐานมาจากอารยธรรมในสมัยโบราณแทบทั้งสิ้น ทั้งนี้ได้มีการผสมผสานกันและเชื่อมโยงกันระหว่างอารยธรรมเก่าและใหม่และมีการสืบทอดกันต่อๆ มาความเจริญด้านศิลปกรรมเป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของอารยธรรมแห่งนี้ ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นต้นแบบของงานศิลปกรรม ส่วนใหญ่เป็นงานสร้างสรรค์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความศรัทธาทางศาสนา โดยสร้างขึ้นเพื่อแสดงความเคารพบูชาและบวงสรวงเทพเจ้าของตนสภาพภูมิศาสตร์  ตำบลทรายขาว เป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ในอำเภอโคกโพธิ์ จังหวัดปัตตานี มีระยะทางห่างจากอำเภอโคกโพธิ์ประมาณ 6 กิโลเมตร มีเนื้อที่โดยประมาณ 44,130 ตารางกิโลเมตร
        

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น